ในตลาดอัญมณีไทย การใช้คำว่า เพชรสีฟ้า และ เพชรสีน้ำเงิน อาจนำมาซึ่งความสับสน แต่ในบริบทของเพชรสีแฟนซี (Fancy Color Diamonds) คำทั้งสองนี้มีความหมายเชื่อมโยงกันอย่างมาก และความแตกต่างที่แท้จริงจะถูกวัดด้วยมาตรฐาน ความเข้มของสี (Color Saturation) ซึ่งเป็นตัวกำหนดมูลค่าที่แตกต่างกันอย่างมหาศาล คำตอบสั้น ๆ คือ: เพชรสีน้ำเงิน (เข้ม) ราคาแพงกว่า เพชรสีฟ้า (อ่อน) อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกรดที่มีการระบุความเข้มสูงสุด บทความนี้จะวิเคราะห์ความแตกต่างด้านราคาและปัจจัยด้านความหายากตามเกณฑ์ของสถาบันที่มีอำนาจ (Authoritativeness) อย่าง GIA
มูลค่าของเพชรสีแฟนซี รวมถึง เพชรสีฟ้า และ เพชรสีน้ำเงิน ไม่ได้ถูกกำหนดโดยความรู้สึกส่วนตัว แต่ถูกกำหนดโดยใบรับรองของสถาบันอัญมณีวิทยา เช่น GIA (Gemological Institute of America) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการจัดเกรดสีอย่างเป็นกลาง
ธาตุโบรอน: ทั้ง เพชรสีฟ้า และ เพชรสีน้ำเงิน ธรรมชาติ จัดอยู่ในกลุ่ม Blue Diamonds และมีสีที่เกิดจากการมีธาตุ โบรอน (Boron) แทรกซึมอยู่ในโครงสร้างผลึก
ความแตกต่างด้านราคามาจากระดับ ความเข้มของสี (Saturation) ที่ GIA จัดเกรด ซึ่งนักสะสมเพชรมักตีความดังนี้:
| ระดับความเข้มของ GIA | การตีความมูลค่า | ระดับราคา |
| Fancy Light Blue (สีฟ้าอ่อน) | เพชรสีฟ้า โทนอ่อนที่เข้าถึงได้ง่าย | ราคาสูง แต่ต่ำที่สุดในกลุ่ม Blue |
| Fancy Blue (สีฟ้าปานกลาง) | เพชรสีฟ้า ที่มีความสดใสชัดเจนขึ้น | ราคาสูงมาก |
| Fancy Intense Blue (สีน้ำเงินเข้ม) | เพชรสีน้ำเงิน เข้ม จัดเป็นอัญมณีหายาก | ราคาสูงลิ่ว (Ultra-High Price) |
| Fancy Vivid Blue (สีน้ำเงินสดใสสูงสุด) | เพชรสีน้ำเงิน ที่มีสีบริสุทธิ์และเข้มข้นที่สุด | ราคาแพงที่สุดในโลก (ทำลายสถิติประมูล) |
ข้อสรุป: โดยสรุปแล้ว เพชรสีน้ำเงิน ในระดับ Fancy Intense และ Fancy Vivid Blue มีราคาแพงกว่า เพชรสีฟ้า ในระดับ Fancy Light Blue หรือ Fancy Blue อย่างชัดเจนมากที่สุด เนื่องมาจากปัจจัยด้านความหายาก
ปัจจัยหลักที่ทำให้ เพชรสีน้ำเงิน ราคาแพงกว่า เพชรสีฟ้า คือความหายากในเชิงธรณีวิทยา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญ (Expertise) ยืนยันว่ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณโบรอน
ความเข้มสูงหายากกว่า: การที่ เพชรสีน้ำเงิน จะมีสีเข้มและสดใสในระดับ Fancy Vivid Blue นั้น ต้องมีปริมาณโบรอนในโครงสร้างผลึกที่สูงมากและมีตำหนิโครงสร้างอื่น ๆ น้อยที่สุด การเกิดขึ้นตามธรรมชาติของสภาวะที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากกว่าการมีโบรอนในปริมาณเล็กน้อยที่ทำให้เกิดสีฟ้าอ่อน (Fancy Light Blue) อย่างมหาศาล
หลักฐานความแพง: เพชรสีน้ำเงิน ในระดับ Fancy Vivid Blue คือเพชรที่สร้างสถิติราคาสูงสุดในการประมูลเพชรโลกบ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น The De Beers Blue Diamond (15.10 กะรัต) ถูกประมูลไปในราคาสูงถึง $57.5$ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (กว่า 2,000 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงมูลค่าในตลาดโลกที่แตกต่างจาก เพชรสีฟ้า โทนอ่อนอย่างเทียบกันไม่ได้
สถานะสินทรัพย์: เพชรสีน้ำเงิน เข้ม ถูกจัดเป็น สินทรัพย์เพื่อการลงทุน (Investment Asset) ที่มีความน่าเชื่อถือ (Trustworthiness) และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ เพชรสีฟ้า โทนอ่อนเป็นอัญมณีสีที่เน้นการสวมใส่มากกว่าการลงทุน
ราคาของ เพชรสีฟ้า และ เพชรสีน้ำเงิน ยังขึ้นอยู่กับสีรอง (Modifier) ที่อาจเจือปนมาด้วย เช่น สีเขียว (Greenish Blue) หรือสีเทา (Grayish Blue)
สีบริสุทธิ์แพงกว่า: เพชรสีน้ำเงิน หรือ เพชรสีฟ้า ที่มีสี Pure Blue (สีฟ้าบริสุทธิ์ ไม่มีสีรอง) จะมีมูลค่าสูงสุด หากมีสีรองเจือปน มูลค่าก็จะลดลงตามลำดับ
การที่ เพชรสีน้ำเงิน เข้มมีราคาแพงเกินเอื้อมสำหรับคนส่วนใหญ่ ทำให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์การซื้อทางเลือกอื่น ๆ
เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการความงามของ เพชรสีฟ้า โดยไม่ทำลายงบประมาณ ซึ่งให้ความรู้สึกโรแมนติกและสง่างามกว่า
เพชรสีน้ำเงินสังเคราะห์ สามารถจำลองสีเข้มระดับ Fancy Vivid Blue ได้อย่างสมบูรณ์แบบในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า เพชรสีฟ้าธรรมชาติ หลายร้อยเท่า ซึ่งมอบความแวววาวและสีสันที่ต้องการโดยไม่ต้องลงทุนระดับพันล้าน
เพชรสีน้ำเงิน (เข้ม) มีราคาแพงกว่า เพชรสีฟ้า (อ่อน) อย่างชัดเจนที่สุด ความแตกต่างด้านราคาถูกกำหนดโดยระดับความเข้มของสีที่ GIA จัดเกรด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Fancy Vivid Blue คือเกรดสีน้ำเงินที่ทำลายสถิติมูลค่าและถูกจัดให้เป็นอัญมณีที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก
การเลือกซื้อ เพชรสีฟ้า หรือ เพชรสีน้ำเงิน จึงต้องยึดใบรับรอง GIA เป็นหลัก เพื่อให้มั่นใจในระดับความเข้มของสี และมูลค่าที่แท้จริงของอัญมณี
เพชรสีฟ้า